ในปี พ.ศ.๒๕๓๐ คาดว่าร้านอาหารจีนที่ชื่อ “ร้านแป๊ะแปดนิ้ว” คงมีชื่อเสียงพอสมควรเพราะพบมีการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ ข้อความว่า
“ท่านไม่ต้องไปทานหมูหันตามภัตตาคารให้แพงและสิ้นเปลืองเงินเปล่าๆ เชิญมาที่ แป๊ะแปดนิ้ว เราบริการท่านด้วยราคาต้นทุนตัวละสามร้อยกว่าบาท ท่านทานหนังเสร็จแล้ว เรายังบริการผัดเนื้อหมูทอดกระเทียมพริกไทยให้ท่านด้วย
แป๊ะแปดนิ้วบริการหมูหันและหูฉลามในราคาถูกแสนถูก เราบริการคุ้มค่า คุ้มเงินของท่าน นอกจากนี้เรายังบริการอาหารเฉโปจานละ ๑๐ บาท
อย่าลืมนะครับ วันไหนว่างก็เชิญมาใช้บริการได้ ถ้าไม่ว่างโทรสั่งได้ทันทีที่เบอร์ ๒๑๒๐๐๔ แป๊ะแปดนิ้วซิครับ” สมัยนั้นหมูหันเป็นอาหารชั้นดี ตัวละ ๓๐๐ กว่าบาทก็ถือว่าราคาสูงแล้ว
นอกจากนี้มีอาหารแปลกที่ชื่อ “เฉโป” จานละ ๑๐ บาท ค้นพบว่าเป็นชื่ออาหารจีนชนิดหนึ่งนิยมกินกันทางจีนตอนใต้แถบมณฑลกวางตุ้งและฝูเจี้ยน มักเรียกว่า ข้าวเฉโปหรือเสียโป ประกอบด้วยข้าวสุกโปะด้วยหมูย่าง เป็ดย่าง ไส้พะโล้ เป็นต้น ราดด้วยน้ำซอส เล่ากันว่าสมัยที่มีบ่อนการพนันในกรุงเทพฯ จำนวนมากโดยเฉพาะการพนันโป นักพนันที่เสียเงินจากการพนันมักจะมาสั่งข้าวเสียโปกินที่หน้าบ่อน มีคนจีนทำขายเนื่องจากเป็นอาหารง่ายๆ และราคาถูก
น่าสนใจว่าร้านอาหารจีนที่ชื่อ “แป๊ะแปดนิ้ว” เหตุใดจึงใช้ชื่อนี้และมีความเป็นมาอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถเปิดร้านอยู่ได้จนถึงปัจจุบันแม้ว่าร้านอาหารจีนขนาดเล็กร้านอื่นๆ จะทยอยปิดตัวลงเป็นส่วนใหญ่
ผู้เขียนเคยพบเจ้าของร้านแป๊ะแปดนิ้วสมัยที่ย้ายมาเป็นรองสารวัตรที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่ริมเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ ขณะกำลังคุมตำรวจตั้งด่านอยู่หน้าโรงพักเห็นรถกระบะมีคนนั่งอยู่ท้ายรถประมาณ ๗-๘ จึงขอตรวจค้นอาวุธและยาเสพติด คนขับเป็นชายรูปร่างท้วมผิวขาวเชื้อสายจีน กล่าวแนะนำตัวแบบเป็นกันเองว่าเป็นเจ้าของร้านอาหารจีนอยู่ใกล้ประตูช้างเผือกในเมืองเชียงใหม่ กำลังพาลูกน้องพนักงานในร้านมาเที่ยวบ้านสาวที่อำเภอแม่ริม ขณะนั้นผู้เขียนรู้สึกแปลกใจที่เจ้าของร้านต้องทำหน้าที่พาคนทำงานในร้านมาเที่ยวในลักษณะเช่นนี้ ก่อนไปคนขับแจ้งด้วยว่าชื่อแป๊ะแปดนิ้วเพราะนิ้วมี ๘ นิ้วพร้อมกับชูมือซ้ายให้ดู นิ้วกลางและนิ้วนางไม่มี หลังจากนั้นเคยแวะมาทานที่ร้านแป๊ะแปดนิ้วหลายครั้ง อาหารราคาไม่แพงและมีปริมาณมาก
ร้านแป๊ะแปดนิ้ว ปัจจุบันตั้งอยู่ที่อาคารพาณิชย์ใกล้ประตูช้างเผือกด้านใน เจ้าของคือแป๊ะแปดนิ้วอายุ ๗๐ ปี เล่าว่าเกิดที่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๖ ละแวกตลาดเยาวราช เดิม “แซ่ตั้ง” รุ่นพ่อเกิดที่ประเทศจีนและอพยพมาอยู่กรุงเทพฯ สมัยเป็นเด็ก ต่อมาแต่งงานกับแม่ที่มีเชื้อสายจีนเช่นกัน มีลูกถึง ๑๑ คน แป๊ะเป็นลูกคนที่ ๔ พ่อประกอบอาชีพรับจ้าง วัยเด็กเรียนไม่จบระดับประถมศึกษาเนื่องจากเรียนหนังสือไม่เก่ง จึงออกมาทำงานรับจ้างที่ตลาดบางรัก แป๊ะเล่ารายละเอียดว่า
“สมัยเด็กผมต้องตื่นตั้งแต่ตี ๔ ตี ๕ ไปทำงานหารายได้ที่ตลาดบางรักสมัยนั้นอายุเพียง ๖-๗ ขวบเท่านั้น ไปทำงานร้านทอดมันได้ค่าจ้างเดือนละ ๑๕๐ บาท ไม่ได้ขอเงินแม่ ผมทำหน้าที่ขูดเนื้อปลา ปั้นลูกชิ้นปลา ตอนอายุ ๘ ขวบในปี พ.ศ.๒๕๐๔ พลั้งเผลอขณะหยิบชิ้นปลาเข้าเครื่องบด นิ้วมือซ้ายเข้าไปในเครื่องบดทำให้ต้องตัดนิ้วกลางและนิ้วนางไปสองนิ้ว เดิมผมชื่อว่า อี๊ ซึ่งภาษาจีนแปลว่ากลม หลังจากนิ้วเหลือ ๘ นิ้ว พ่อแม่และคนทั่วไปก็มักเรียกว่า “ไอ้แปดนิ้ว” เรื่อยมา
“บ้านผมอยู่ใกล้กับโรงพักพลับพลาไชย ทำให้คุ้นเคยกับนายตำรวจหลายคน ตอนเป็นเด็กท่านโสภณ วาราชนนท์เป็นสารวัตร ท่านมนัส ครุฑไชยยันต์เป็นรองผู้กำกับ สมัยหนึ่งผมเริ่มเป็นวัยรุ่นและไม่มีงานทำก็เที่ยวเล่นทั่วไป โดนตำรวจสายสืบโรงพักพลับพลาไชยจับไปส่งสถานแรกรับเด็กเยาวชน ตำรวจเรียกว่าไปช่วยราชการ
“อีกคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคย คือ ท่านมานิตย์ พรประสิทธิ์ บ้านท่านอยู่หลังโรงหนังบรอดเวย์ ใกล้สามแยกหมอมี แม่ท่านมีร้านขนมครกมีชื่อเสียง ชื่อว่าขนมครกเศรษฐี รสชาติอร่อยและขายดี ตอนที่มาเป็นผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๕ ผมพบที่ร้านก๋วยเตี๋ยวในเมืองเชียงใหม่จึงเข้าไปสวัสดี ท่านถามว่าลื้อเป็นใคร ผมยกมือให้ดู ท่านเห็นนิ้วมี ๘ นิ้วก็นึกได้ ร้องว่าอ๋อไอ้แปดนิ้วและได้พูดคุยเรื่องเก่าๆ กัน”
จากชีวิตคนเชื้อสยจีนที่เติบโตที่ใจกลางกรุงเทพฯ ต่อมาได้โยกย้ายมาอยู่ที่เมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ เป๊ะให้ข้อมูลว่า
“ผมแต่งงานที่กรุงเทพฯ มีลูก ๓ คน เห็นว่ายากที่จะตั้งตัวได้ จึงเดินทางมาหาลู่ทางทำมาหากินที่เชียงใหม่ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ ผมรู้จักคนกรุงเทพฯ ที่มาปักหลักที่เชียงใหม่ คือ เฮียโอวตี่ อีกคนหนึ่งคือ หยีมีร้านขายเหล้าบุหรี่ที่หน้าบลูมูนไนท์คลับ เห็นลู่ทางแล้วจึงไปทำงานอยู่กับพี่ต้อย นามสกุล รอดเจริญ เป็นเจ้าของร้านปิยมิตร ตัวแทนจำหน่ายเหล้าเบียร์สมัยนั้นมีรถกระบะสีเหลืองส่งเหล้าเบียร์ ร้านอยู่ใกล้แยกข่วงสิงห์ชื่อ ร้านปิยมิตร
“ทำอยู่ได้ระยะหนึ่ง พี่ต้อยไปเป็นหุ้นส่วนเปิดภัตตาคารสามปอยหลวงที่ใกล้แยกแจ่งหัวลิน จึงให้ผมไปทำหน้าที่เป็นกัปตันคุมเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ทราบว่าภัตตาคารสามปอยหลวงสมัยนั้นมีหุ้นส่วนหลายคน คือ คุณอุดรพันธุ์ จันทรวิโรจน์, ท่านพิมล สินธุนาวา, คุณวัชระ ตันตรานนท์, คุณเหน่ง เจ้าของร้านตัดเสื้อผ้าฟอริดา, คุณสมพงษ์ เตชะสุขสันต์ก็มีหุ้นด้วย ผู้จัดการชื่อ พัฒนา พึ่งบุญ ณ อยุธยา เป็นเพื่อนกับคุณอุดรพันธุ์ สมัยนั้นมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อีกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนคุณอุดรพันธุ์ คือ คุณฟ้าลั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ทำงานเป็นผู้จัดการโรงแรมปอยหลวงอยู่ใกล้สี่แยกไปอำเภอสันกำแพง
“ผมทำงานเป็นกัปตันที่ภัตตาคารสามปอยหลวงอยู่หลายปีจนเลิกกิจการ จึงออกมาเปิดร้านของตัวเอง โดยไปเช่าตึกแถวอยู่ข้างอนุสาวรีย์สามกษัตริย์ เปิดร้านขายบะหมี่เกี๊ยว ข้าวหมูแดง ข้าวหมูกรอบ ช่วงนี้รับเมียและลูกจากกรุงเทพฯ มาอยู่ด้วย ร้านผมไม่มีชื่อร้านอยู่ปากทางเข้าซอยคนละฝั่งกับร้านข้าวมันไก่เกียรติโอชา
“ขายอยู่ได้ประมาณ ๒ ปี เจ้าของตึกแถวขอคืนจึงได้ย้ายไปเปิดอยู่ใกล้ประตูช้างเผือก เป็นร้านของญาติให้เช่า เปลี่ยนมาขายอาหารจีน คือ กระเพาะปลา หูฉลามและอาหารจีนอื่น ผมมีความรู้เรื่องอาหารจีนเนื่องจากชอบไปคลุกคลีกับกุ๊กตามภัตตาคารต่างๆ ตั้งแต่อยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว มาอยู่เชียงใหม่ก็คุ้นเคยกับกุ๊กหลายร้าน โดยเฉพาะกุ๊กภัตตาคารซีเอ็ม เจ้าของคือเฮียสมพร อัศวเหม ตั้งอยู่ปากซอยหน้าโรงแรมเชียงอินทร์
“เมื่อคนเริ่มรู้จักมากขึ้นแล้ว ผมรับทำโต๊ะจีนสำหรับงานเลี้ยงนอกสถานที่ สมัยนั้นมีลูกค้ามากแทบจะไม่ได้ใช้เงินเลย ลูกค้าคนแรกๆ ที่จำได้เช่น เฮียมิ้ง ร้านซิ้นเชียงหลีจ้างไปจัดโต๊ะจีนงานแต่งงานของญาติ ต่อมาเฮียเส่ง จ้างไปจัดโต๊ะจีนงานประจำปีของศาลเจ้าอำเภอจอมทอง อยู่จนร้านเดิมซึ่งเป็นตึกแถว ๑ ห้องมีคนมาขอซื้อราคา ๑๑ ล้าน ๕ แสนบาท ญาติจึงขายไป
“ปีที่แล้ว(พ.ศ.๒๕๖๔)ผมย้ายมาเปิดที่ใกล้ประตูช้างเผือกด้านในซึ่งเป็นตึกแถว ๒ ห้องซื้อไว้หลายปีแล้ว เคยเป็นบริษัทขายรถแทรกเตอร์ ภายหลังถูกยึดขายทอดตลาด ช่วงนี้มีเหตุการณ์โรคโควิดทำให้การรับจัดโต๊ะจีนยกเลิกไป ขายเฉพาะที่หน้าร้านเท่านั้น”
เรื่องการลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์ เป๊ะแปดนิ้วเล่าว่า
“ผมคุ้นเคยกับตั้ม-ชาญชัย ลิ้มจรูญ ลูกชายของเฮียบรรจบ ลิ้มจรูญ เจ้าของไทยนิวส์ สมัยนั้นเฮียสมพร อัศวเหม เลิกภัตตาคารซีเอ็มแล้วย้ายไปเปิดภัตตาคารครัวไทยอยู่ถนนสายอ้อมเมือง ติดบ้านคุณคะแนน สุภา ผมคุ้นกับเฮียสมพรจึงแวะไปร้านนี้บ่อยทำให้รู้จักกับตั้ม ลิ้มจรูญ ร้านครัวไทยแห่งนี้ภายหลังเฮียสมพรเลิกกิจการ มีสุวิทย์มาเช่าทำต่อ คราวหนึ่งบ้านสุวิทย์ถูกปล้นทรัพย์ คนร้ายชื่อถนอมเคยเป็นทหารเก่า ตำรวจตามจับและไปวิสามัญที่ใกล้โรงแรมเชียงใหม่ฮิลล์ ตอนหลังผมคุ้นเคยกับเฮียบรรจบ ลิ้มจรูญ สั่งอาหารร้านผมไปทานบ่อยๆ และลงโฆษณาให้ผมโดยไม่คิดเงิน”
ปัจจุบัน “ร้านเป๊ะแปดนิ้ว” ยังเปิดกิจการอยู่ อาหารมีขึ้นชื่อคือ กระเพาะปลา ข้าวผัดหนำเลี้ยบ เกี๊ยวกุ้ง ฯลฯ น่าแวะไปชิมลิ้มลองอย่างยิ่ง.
พ.ต.อ.อนุ เนินหาด เรียบเรียง
Like (0)